MapleStory Finger Point

> ,<~

> ,<~

Diary



ตำนานเทพเจ้ากรีก




เทพีอาเทน่า (Athena) เทพีแห่งสงครามและปัญญา


              กล่าวถึงคณะเทพโอลิมเปียนซึ่งมีเทพีพรหมจารีปรกอบอยู่ด้วยกัน 3 องค์ มีชื่อตามลำดับ ได้แก่ เฮสเทีย (Hestia) เอเธน่า (Athene) และ อาร์เตมิส (Artemis) ซึ่งเทพีองค์แรกถือเป็นเทพีภคินีของเทพปริณายกซูส ส่วนอีก 2 องค์หลังนั้นเป็นธิดาของเทพปริณายกซูส ซึ่งแต่ละองค์มีประวัติเล่าขานและความสำคัญที่แตกต่างกันไป ดังต่อไปนี้

              การประสูติของเทพีเอเธน่าเป็นที่กล่าวขานกันว่า ครั้งหนึ่งในอดีต ซูสเทพบดีได้ฟังคำทำนายขึ้นมาว่า โอรสธิดาที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากมเหสีมีทิส (Metis) ผู้ทรงปัญญา จะมีอำนาจในการล้มบัลลังก์ของพระองค์ได้ในอนาคต เมื่อได้ฟังดังนั้นไท้เธอก็พยายามแก้ปัญหาง่ายๆ โดยการจับตัวมีทิสที่กำลังตั้งครรภ์แก่กลืนเข้าไปอยู่ในท้อง แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน เทพปริณายกซูสก็เกิดอาการปวดหัวขึ้นมาอย่างหนักทบทนไม่ไหว  ไท้เธอจึงมีเทวโองการรับสั่งให้เทพทั่วเขาโอลิมปัสมาร่วมประชุม เพื่อให้ช่วยกันคิดหาทางออกที่จะบำบัดอาการปวดหัวที่ไท้เธอเป็นอยุ๋  แต่ก็ไม่มีทวยเทพองค์ใดสามารถคิดแก้ไขปัญหาออกได้เลยแม้แต่ผู้เดียว ซึ่งในขณะนั้น เทพซูสก็ไม่อาจจะทนความรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้อีกต่อไปได้ จึงมีเทวบัญชาเพื่อสั่งโอรสองค์หนึ่วของพระองค์ ที่ชื่อว่า ฮีฟีสทัส (Hephaestus) หรือ วัลแคน (Vulcan) นำขวานมาผ่าลงไปที่เศียรของไท้เธอ เทพฮีฟีสทัสก็ปฏิบัติตามคำสั่งของบิดา และเอาขวานจามลงไปที่เศียรเทพซูส แต่ยังไม่ทันที่ขวานจะทำให้เศียรของเทพซูสแยกออกจากกันดี เทพีเอเธน่าก็ประสูติขึ้นมาจากเศียรของเทพบิดา โดยลักษณะของเธอนั้นอยู่ในวัยที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว และฉลององค์ด้วยหุ้มเกราะงามแวววาว และในมือถือหอกเป็นอาวุธ เทพีเอเธน่าประกาศชัยชนะด้วยเสียงอันดังไปทั่วจนเป็นที่พิศวงหวั่นหวาดแก่ทวยเทพทั้งหลายอย่างที่สุด และทันใดนั้นเอง พื้นพสุธาและมหาสมุทรก็เกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า เทพีเอเธน่าองค์นี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว

การอุบัติของเทพีเอเธน่าถือเป็นโชคดีที่จะนำโลกไปยังสันติสุขและช่วยกำจัดความโง่เขลาที่ปกครองโลกที่เคยมีให้หมดสิ้นไป ซึ่งการที่เจ้าแม่กำเนิดออกมาจากเศียรของเทพซูส เทพีแห่งความโฉดเขลาซึ่งไม่ปรากฏรูป ก็หนีให้เจ้าแม่เข้าครองแทนที่ เพราะฉะนั้น เทพีเอเธน่าจึงถือเป็นที่บูชาในฐานะเทพีผู้มีปัญญา อีกทั้งยังเป็นเทพีที่มีฝีมือในการหัตถกรรม เย็บปักถักร้อย รวมไปถึงยุทธศิลปในการปกป้องบ้านเมืองก็มีดีไม่แพ้ใคร

หลังจากการประสูติของเจ้าแม่เอเธน่าได้ไม่นาน ก็มีหัวหน้าชาวฟีนิเชียคนหนึ่ง ที่มีนามว่า ซีครอบส์ (Cecrop) ได้นำเอาบริษัทบริวารเดินทางอพยพเข้าสู่ประเทศกรีซ และได้เลือกชัยภูมิอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่งในแถบแคว้นอัตติกะ (Attica) ก่อนจะจัดตั้งสร้างภูมิลำเนา สร้างบ้านเรือนขึ้น จนในที่สุดก็กลายเป็นนครอันสวยงามนครหนึ่ง เทพทั้งกลายที่คอยเฝ้าดูการสร้างเมืองแห่งนี้ ล้วยเต็มเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส และเมื่อเห็นว่าเมืองที่สร้างมีเค้าใกล้จะกลายเป็นนครยิ่งใหญ่อันแสนน่าอยู่ขึ้นมาแล้ว แต่ละเทพก็ต่างแสดงความปรารถนาอยากจะได้เอกสิทธิ์ประสาทชื่อนครกันทั้งนั้ย ด้วยเหตุนี้จึงมีการประชุมเพื่อถกถึงเรื่องนี้ ซึ่งระหว่างการประชุมก็มีการอภิปรายโต้แย้งกันมากมาย แต่เทพส่วนใหญ่ก็ต่างพากันสละสิทธิ์ไปจนหมด เหลือแต่เพียงเทพโปเซดอนและเทพีเอเธน่า 2 องค์เท่านั้น ที่ยังไม่ยอมวางมือ และยังคงแก่งแย่งเมืองนี้กันอยู่ต่อไป

เพื่อต้องการให้ยุติปัญหาว่าผู้ใดกันแน่ที่สมควรจะได้รับเอกสิทธิ์ในการประสาทชื่อนครแห่งนี้ แต่เทพปริณายกซูสก็ไม่พึงประสงค์จะชี้ขาดด้วยเกรงว่าจะทำให้เป็นที่ครหาว่าพระองค์เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นได้ ว่าแล้ว ไท้เธอจึงได้มีเทวโองการว่า นครแห่งนี้ควรจะอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของเทพ หรือเทพี ซึ่งมีความสามารถในการเนรมิตสิ่งของที่คิดว่ามีประโยชน์ต่อมนุษย์ที่สุดให้ เพื่อให้มนุษย์สามารถนำไปใช้ได้ และมอบอำนาจให้ที่ประชุมมีหน้าที่ในการตัดสินชี้ขาดว่าใครนั้นมีความเหมาะสมมากกว่ากัน

เทพโปเซดอนเป็นผู้เริ่มสร้างก่อน เธอได้ยกตรีศูลคู่มือขึ้นมากระแทกลงไปบนพื้น ซึ่งทำให้เกิดเป็นม้าลำยองตัวหนึ่งผุดขึ้นมา เหล่าเทพทั้งหลายต่างพากันส่งเสียงแสดงความพิศวงและกล่าวชื่นชมในเทพผู้นี้เป็นอย่างมาก เทพโปไซดอนได้อธิบายถึงคุณประโยชน์ของม้าตัวนี้ให้แก่เหล่าเทพทั้งหลายทั้งปวงได้ฟัง ซึ่งทำให้เทพทุกองค์ต่างคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า เทพีเอเธน่าคงจะไม่อาจเอาชนะได้เป็นแน่แท้ พร้อมกับมีอารมณ์เบิกบานและกล่าว เย้ยหยันด้วยเสียงอันดังก้อง ทันใดนั้นเอง เจ้าแม่เอเธน่าก็ได้เนรมิตเป็นต้นมะกอกต้นหนึ่งขึ้นมา และเจ้าแม่ก็ได้อธิบายถึงคุณสรรพคุณของต้นมะกอก ว่ามนุษย์จะสามารถนำเอามันไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างนานัปการ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อไม้ ผล กิ่งก้าน หรือใบ อีกทั้งมะกอกยังถือเป็นเครื่องหมายแห่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งแน่นอนว่าคงจะเป็นประโยชน์และเป็นที่พึงประสงค์กว่าม้าตัวนั้น ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แห่งสงครามเป็นแน่ เมื่อเหล่าเทพได้ฟังดังนั้น ก็ต่างคิดเห็นเช่นกัน ว่าของที่เจ้าแม่เอเธน่าสร้างขึ้นมานั้นมีประโยชน์กว่าจริงๆ เหล่าเทพจึงได้ลงมติเข้าช้างเจ้าแม่ ทำให้เจ้าแม่เป็นผู้ไดรับชัยชนะไปในที่สุด ทำให้เจ้าแม่เอเธน่าได้เป็นผู้ตั้งชื่อนครแห่งนั้น ตามชื่อของเจ้าแม่เองว่า เอเธนส์ (Athens) เพื่อเป็นเครื่องมือที่คอยระลึกถึงชัยชนะในครั้งนี้ และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชาวกรุงเอเธนส์ก็ให้การเคารพบูชาเจ้าแม่ ในฐานะที่เธอเป็นเทพีผู้ปกครองนครของพวกเขามาอย่างดีตลอดมา

เรื่องที่เล่ามานี้ไม่ใช่เพียงแค่ต้นกำเนิดของชื่อเมืองเอเธนส์เพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการกล่าวถึงตำนานการกำเนิดของม้าที่อยู่ในเทพปกรณัมกรีกอีกด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นการเล่าถึงที่มาของต้นมะกอก ว่าที่ชาวตะวันตกถือว่าช่อมะกอกใช้เป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพ ก็เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้นี่เอง

อีกเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเทพีเอเธน่าเช่นกัน เรื่องเล่านี้เป็นเรื่องที่แสดงถึงที่มาหรือต้นกำเนิดของสิ่งจากธรรมชาติเพื่อสนองต่อความอยากรู้อยากเห็นของคนโบราณ ดังจะกล่าวถึงดังต่อไปนี้

ในสมัยดึกดำบรรพกาล ประเทศกรีซมีดรุณีน้อยผู้หนึ่งที่มีรูปโฉมหน้าตาที่งดงามน่าพิสมัย ที่มีชื่อว่า อาแรคนี (Arachne) อย่างไรก็ตาม นางผู้นี้มีความหยิ่งผยองในฝีมือการทอผ้าและการปั่นด้ายอันยอดเยี่ยมของนางเป็นอย่างมาก ทำให้เป็นข้อเสียเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เธอไม่ได้เป็นที่รักของเทพและมนุษย์ทั้งมวลเสียเท่าไร

อาแรคนี ทะนงในตนเองว่า นางเท่านั้นที่มีฝีมือในด้านหัตถกรรม และสำคัญตนว่าคงไม่มีใครที่สามารถมีฝีมือทัดเทียมเสมอกับนางได้เลย อีกทั้งยังเที่ยวคุยฟุ้งเฟื่องไปถึงไหนต่อไหนถึงความเก่งกาจของตนเองเสียอีก เมื่อความถึงหูของเจ้าแม่เอเธ เธอจึงตัดสินใจที่จะลงมาประชันฝีมือแข่งกับนางอาแรคนี ซึ่งนางอาแรคนีก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะได้แข่งขันกับเจ้าแม่ และไม่ลืมที่จะโอ้อวดตัวเองอย่างเนือง ๆ ในที่สุด เจ้าแม่เอเธน่าก็หมดความอดทน และเกิดความรำคาญ ทำให้ต้องลงมาจากเขาโอลิมปัสเพื่อทำโทษนางอาแรคนี ไม่ให้มีใครคิดเอาเป็นแบบอย่างเช่นนี้อีก โดยวิธีการทำโทษของเจ้าแม่ทำโดยการจำแลงกายเป็นยายแก่ เพื่อเดินเข้าไปในบ้านของนางอาแรคนี เจ้าแม่เข้าไปชวนนางอาแรคนีคุยอยู่ชั่วครู่ ซึ่งนางอาแรคนีก็คุยโวถึงฝีมือของตน และเริ่มพูดถึงเรื่องการแข่งขันเพื่อประลองฝีมือกับเจ้าแม่เอเธน่า เมื่อเจ้าแม่ได้ฟังดังนั้น ก็กล่าวตักเตือนห้ามปรามอย่างละม่อม และบอกให้นางสงบปากสงบคำไว้บ้าง เพราะคำพูดไม่ดีเช่นนี้อาจเป็นเหตุให้เทพเจ้าขัดเคือง และยังผลให้นางเกิดภัยร้ายแรงแก่ตัวเองได้ แต่เนื่องจาจิตใจของนางอาแรคนีมีแต่ความมืดมนและหลงทะนงตนมากเสียจนไม่สนใจต่อคำตักเตือนของยายแก และยังพูดสำทับเพิ่มเติมอีกด้วยว่า นางอาแรคนีอยากจะให้เจ้าแม่มาได้ยินคำพูดของนางเสียเหลือเกิน และจะได้ลงมาท้าประกวดฝีมือกับนางเสียที  เมื่อเจ้าแม่ได้รับรู้แล้วว่านางอาแรคนีมีนิสัยที่ชั่วช้าเพียงใด เจ้าแม่ก็เกิดความโมใหหจนถึงขีดสุด พร้อมกับสำแดงองค์ให้นางอาแรคนีเห็นตามจริง พร้อมรับคำท้าที่จะท้าประลองฝีมือในทันที

การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายจัดแจงตั้งหูกพร้อมสรรพ จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็ทอลายผ้าอันแสนวิจิตรงดงามขึ้น โดยเทพีเอเธน่าเลือกทอภาพในครั้งที่เจ้าแม่แข่งขันประลองกับเทพโปเซดอน ในขณะที่ นางอาแรคนีก็เลือกเอาภาพซูสตอนที่ลักพาตัวนางยูโรปามาเป็นลายในการทักทอ เมื่อครั้นที่ต่างฝ่ายต่างทอเสร็จ ก็ได้นำเอาลายผ้ามาเปรียบเทียบกัน ทันทีที่นางอาแรคนีได้เห็นผ้าทอของเจ้าแม่ ก็รับรู้ได้ทันทีว่าผลงานของนางพ่ายแพ้อย่างหลุดลุ่ย ลายรูปโคโลดแล่นในทะเลในขณะที่มีคลื่นซัดสาดออกเป็นฟองฝอย กับภาพนางยูโรปาที่เกาะเขาอยู่ในอาการกึ่งยิ้มกึ่งตกใจ และมีเกศาและผ้าสไบที่พลิ้วไหลปลิวไปตามสายลมที่นางอาแรคนีทอขึ้น ไม่อาจสามารถจะเทียบเคียงกับลายรูปชมรมของเหล่าทวยเทพ ที่ขนาบข้างไปด้วยรูปม้าและต้นมะกอกเนรมิต อันดูเหมือเป็นภาพที่มีชีวิตที่เจ้าแม้ถักทอขึ้นมาได้เลย ทำให้ยางอาแรคนีรู้สึกเสียใจ เจ็บใจ และระอายใจในความผิดพลาดของตนเองเป็นอย่างมาก นางอาแรคนีไม่อาจสามารถจะทนอยู่บนโลกใบนี้ได้อีกต่อไป จึงได้เอาเชือกผูกคอเพื่อหมายจะปลิดชีวิตของตนเอง แต่เมื่อเจ้าแม่เอเธน่าได้เห็นดังนั้นว่านางอาแรคนีคิดจะหนีโทษทัณฑ์ไป เจ้าแม่จึงรีบสาบเพื่อเปลี่ยนกายของนางอาแรคนีให้กลายเป็นแมงมุมห้อยโตงเตง และสาปให้แมงมุมนางอาแรคนีต้องปั่นและทอใยไปเรื่อยๆแบบไม่มีวันหยุด ทั้วนี้ก็เพื่อเป็นการตักเตือนมนุษย์ไม่ให้เกิดมีมนุษย์ที่คิดจะทะนงตนทัดเทียมเทพเช่นเดียวกับนางอาแรคนีอีกเด็ดขาด

ตามปกติแล้ว เทพีเอเธน่าจะประทับอยู่เคียงข้างซูสเทพบิดาตลอดเวลา เพื่อคอยให้คำปรึกษา ความเห็น หรือคำแนะนำแสนแยบคายต่อเทพซูสตลอดเวลา ครั้นเมื่อมีศึกสงครามเกิดขึ้นบนโลก เทพีเอเธน่าก็จะขอประทานยืมโล่ของเทพบิดาลงมาสนับสนุนให้แก่ฝ่ายที่ถูกต้อง และมีเหตุผลอันชอบธรรมในการสงครามอยู่เสมอ ดังเช่น สงครามกรุงทรอยที่เป็นที่โจษจันกันไปทั่ว ซึ่งศึกครั้งนั้น เทพีเอเธน่าก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่ขอเข้าร่วมด้วย เธออยู่ฝ่ายเดียวกับกรีก ซึ่งตรงข้ามกับเทพองค์อื่น ๆ เช่น เทพีอโฟร์ไดท์ หรือ เทพเอเรส เป็นต้น ที่หันไปเข้าข้างฝั่งทรอย

ด้วยเหตุที่เทพีเอเธน่ามีความสามารถในการทำสงคราม จึงทำให้เจ้าแม่กลายเป็นเทพีอุปถัมภ์ของบรรดานักรบไปด้วยพร้อมๆกัน จะไม่มีวีรบุรุษคนสำคัญใดๆบนโลกเกิดขึ้นได้เลย หากขาดการสนับสนุนช่วยเหลือจากเจ้าแม่ มีครั้งหนึ่งที่เทพีเอเธน่าเคยช่วยเฮอร์คิวลิสทำสงคราม ซึ่งทำให้เขาสามารถทำงาน 12 อย่างตามที่เทพีฮีร่าสั่งเอาไว้ได้ อีกทั้ง ยังเคยช่วยเปอร์เซอุสฆ่านางการ์กอนเมดูซ่า ช่วยโอดีสซีอุส (หรือยูลิซิส) ให้เดินทางกลับจากยุทธภูมิสู่ทรอยได้อย่างปลอดภัย รวมไปถึงการช่วยเหลือเตเลมาคัส ผู้เป็นบุตรชายของโอดีสซีอุสให้สามารถเจอพ่อได้สำเร็จ

ด้วยความที่ชาวกรีกนับถือเจ้าแม่เป็นอย่างมาก ชาวกรีกจึงได้มีการสร้างวิหารเพื่อถวายบูชาแด่เทพีเอเธน่าเอาไว้ มากมายนับไม่ถ้วน แต่สถานที่แห่งหนึ่งที่นับได้ว่ามีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ วิหาร พาร์ธีนอน ซึ่งตั้งอยู่ ณ กรุงเอเธนส์ ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันจะหลงเหลือแต่เพียงซาก ก็ยังคงมีเค้าของงานฝีมืออันวิจิตรพิสดารหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง

นอกจากชื่อ เอเธน่า หรือ มิเนอร์วา แล้ว ชาวกรีกและชาวโรมันยังเรียกชื่อเจ้าแม่ในอีกหลายรูปแบบ โดยชื่อที่แพร่หลายมากที่สุด ได้แก่ พัลลัส (Pallas) ทำให้จนบางที เจ้าแม่ก็ถูกเรียกชื่อควบว่าเป็น พัลลัสเอเธน่า เลยก็มี ซึ่งต้นเหตุที่ชื่อนี้ถูกเรียกกันอย่างกว้างขวาง ก็เพราะครั้งหนึ่งเจ้าแม่เคยปราบยักษ์ตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า พัลลัส แม้ตำนานจะไม่ปรากฏชัดแจ้ง แต่ก็มีเรื่องเล่ากันมาว่า เจ้าแม่สามารถฆ่ายักษ์ตนนี้ได้สำเร็จ และถลกเอาหนังของยักษ์ออกมาคลุมองค์ ทำให้กลายเป็นที่มาของชื่อเรียกนี้ไปในที่สุด อีกทั้ง รูปปั้นประติมาหรืออนุสาวรีย์ของพระองค์ ก็ถูกเรียกว่า พัลเลเดียม (Palladium) ซึ่งคำว่า Palladium ในภาษาอังกฤษก็หมายความถึง ภาวะหรือปัจจัยที่นำพาความคุ้มครอง หรือความปลอดภัยให้บังเกิดแก่หมู่ชน เปรียบเสมือนพัลเลเดียมที่ชาวโรมันรักษาเอาไว้ในวิหารเวสตานั่นเอง

เมื่อกล่าวถึงการครองความบริสุทธิ์ของเจ้าแม่ ก็มีตำนานเล่าขานเอาไว้ว่า เทพฮีฟีสทัสนั้นแอบหลงรักและต้องการตัวของเจ้าแม่มาวิวาห์ด้วย เธอจึงได้ไปทูลขอต่อเทพบิดา ซึ่งเทพบิดาก็อนุญาตแต่โดยดี แต่ก็ให้ฮีฟีทัสมาลองถามความสมัครใจของเจ้าแม่เอาเอง แต่ไม่รู้ว่าเทพฮีฟีทัสไปทำอะไรไม่ดีเอาไว้ จึงทำให้เจ้าแม่ปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ ทำให้ฮีฟีสทัสคิดจะรวบรัดตัดตอนฉุดเอาตัวเจ้าแม่มาโดยพลการ  ระหว่างการแย่งชิงตัวครั้งนี้ ความไม่บริสุทธิ์ของฮีฟีทัสก็ล่วงหล่นลงมายังพื้นโลก ก่อให้เกิดเป็นทารกเพศชาย คนหนึ่งผุดขึ้นมาในทันใด ทำให้เจ้าแม่สามารถรอดพ้นจากการแปดเปื้อนมลทินครั้งนี้ได้  แต่ก็ได้รับทารกเอามาดูแลเอง โดยบรรจุทารกอาไว้ในหีบ เฝ้ายามโดยงู และฝากให้ลูกสาวของท้าวซีครอปส์ช่วยดูแลอีกทอดหนึ่ง พร้อมกำชับอย่างเด็ดขาดว่ามิให้เปิดหีบออกดู แต่ลูกสาวของท้าวซีครอปส์ก็ขัดขืน และพยายามจะเปิดหีบใบนั้นออกดู เมื่อเปิดหีบขึ้นมาก็พบกับงูเข้า จึงวิ่งหนีตกเขาตายไป ส่วนทารกคนนั้น ก็มีชื่อว่า อิริคโธเนียส (Erichthonius) ซึ่งเมื่อเติบโตในภายหลังก็ได้ขึ้นครองกรุงเอเธนส์ ในขณะที่เจ้าแม่เอเธน่าก็ไม่ได้รับการเกี้ยวพาราศีจากเทพองค์ใดเลยอีกต่อไป แม้ว่าจะมีบางตำนานที่กล่าวถึงว่า เทพีเอเธน่าเคยหลงรักกับบุรุษรูปงามผู้หนึ่งที่มีชื่อว่า เบลเลอโรฟอน จนถึงกับเก็บไปฝันว่าเอาอานม้าทองคำมาให้เขา ทั้งนี้ ก็เพราะชายหนุ่มต้องการจะได้มีโอกาสขึ้นขี่ม้าวิเศษเปกาซัส แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่ปรากฏตำนานเรื่องเล่าว่าเทพีเอเธน่าได้สานต่อเรื่องราวความสัมพันธ์กับเบลเลอโรฟอนแต่อย่างใด และบุรุษหนุ่มผู้นี้ก็มาเกิดอุบัติเหตุตกม้าตายในภายหลังด้วย

เทพีเอเธน่ามีพฤกษาประจำตัวเป็นต้นโอลีฟ และมีนกคู่ใจเป็นนกฮูก





ลูซิเฟอร์ (Lucifer) จอมมารแห่งนรกของชาวโรมัน

              ลูซิเฟอร์ (Lucifer) ถือเป็นจอมมารแห่งนรก ที่มีชื่อเสียงค่อนข้างโด่งดังเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ก็เป็นเพราะลูซิเฟอร์ อาจจะมีบทบาทในพระคัมภีร์หลายประการ โดยคำว่าลูซิเฟอร์นั้น เป็นภาษาละติน มีผสมจากคำ 2 คำ ได้แก่ “Lux” ที่หมายถึง แสงสว่าง และ “Ferrer” ที่หมายถึง ผู้นำมาหรือผู้ถือ เมื่อนำเอาทั้งสองคำมารวมกันก็จะมีความหมายว่า “ผู้นำมาซึ่งแสงสว่าง” หรือแปลง่ายๆตามภาษาชาวบ้านว่า “รุ่งอรุณ” หรือ “ดาวแห่งความแสงสว่าง”  ทั้งนี้ก็เพราะ ลูซิเฟอร์เป็นอดีตอัคระเทวทูตที่เป็นผู้ถูกสร้างขึ้นมาจากแสงสว่าง  มีเป็นใหญ่รองลงมาจากพระเป็นเจ้า ซึ่งอาจถือได้ว่า เป็นอัคระเทวทูตที่ยิ่งใหญ่มากที่สุด ณ เวลานั้นเลยก็ได้ แต่ด้วยความหลงในอำนาจที่คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่เหนือผู้ใด จึงทำให้ลูซิเฟอร์คิดก่อการกบฏเพื่อหักหลังพระเป็นเจ้า จนท้ายที่สุดก็ถูกลงโทษให้ตกจากสวรรค์ และกลายมาเป็น”ปีศาจ” ในที่สุด

              ตำนานของชาวฮิบรูกล่าวไว้ว่า ลูซิเฟอร์ได้กระทำผิดเพราะถูกยุแยงจากซาตาน (ตามตำนานนี้ ฮิบรู ลูซิเฟอร์ และ ซาตาน จะเป็นคนละคนกัน) โดยในพระคัมภีร์ของฮิบรูนั้น ซาตานถือเป็นหนึ่งในอัคระเทวฑูตที่ชื่อว่า Satan-Sataniel (หรือSamael) ด้วย และด้วยความที่ซาตานอยากจะเป็นที่หนึ่งในจักรวาล จึงได้ยุยงส่งเสริมให้เทพเจ้าองค์อื่นกลายเป็นมารร้ายแทนตัวเอง

ส่วนตำนานของชาวคริสต์ที่อยู่ในคัมภีร์ The Old Testament ก็ได้นิยามความหมายของ Helel เป็น ลูซิเฟอร์ และได้นำไปเชื่อมโยงกับปีศาจร้ายที่มีรูปกายเป็นสัตว์เลื้อยคลาน โดยสัตว์ร้ายนี้จะแอบเข้ามาในสวนอีเดนเพื่อที่จะหลอกลวงอดัมกับอีฟ

ส่วนในยุคกลาง นักบุญเจอโรม (St.Jerome) ผู้เป็นหลวงพ่อในศาสนะจักร มีแนวความคิดที่ว่า ลูซิเฟอร์ ไม่ควรจะเป็นชื่อของ “ปีศาจ” จึงได้เปลี่ยนมาใช้เป็นคำว่า “ซาตาน” แทน แต่ในเวลาภายหลัง ทั้งสองชื่อก็ถูกรวมมาเป็นคนคนเดียวกัน ดังที่สามารถพบเจอได้ในพระคัมภีร์บางเล่ม ที่ชื่อของลูซิเฟอร์และซาตานนั้น ถูกใช้แทนกันเสมอ

ตำนานกรีกได้เปรียบคำว่า ลูซิเฟอร์ เฉกเช่นเดียวกับดาววีนัส เนื่องจากเดิมทีแล้ว ลูซิเฟอร์เป็นชื่อเดิมของดาววีนัส ในขณะที่บางตำนานของชาวเพแก้น หรือ วิคคา ก็บอกเอาไว้ว่า หลังจากที่พระเจ้าได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาแล้ว ก็มีความใส่ใจดูแลในตัวพวกมนุษย์มากกว่าผู้อื่นได และแน่นอนว่ามากกว่าตัวลูซิเฟอร์เองด้วย ทำให้ลูซิเฟอร์เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และเป็นผู้นำในการก่อกบฏต่อพระเป็นเจ้า แต่ในบางความเชื่อของชาวเพเก้น ก็บอกเล่ากันว่า ลูซิเฟอร์นั้นอาศัยอยู่ที่ทวีปยุโรปและเอเชีย

ทุกวันนี้ ได้เกิดมีลัทธิใหม่ที่ยกให้ลูซิเฟอร์เป็นเทพเจ้าเหนือพวกเขา และเรียกชื่อตัวเองว่า “ลูซิเฟอเรี่ยน (Luciferains)” ซึ่งล้อตามชื่อของพระศาสดา Lucifer Calaritanus บิช๊อปของลูซิเฟอเรี่ยน มีความเชื่อว่า พระเยซูคริสต์ไม่ใช่เทพผู้ถูกเลือก แต่ก็คือ ลูซิเฟอร์นั่นเอง (คล้ายกับลัทธิการบูชาซาตานหรือปีศาจ) ในคัมภีร์ของกลุ่มคเหล่านี้ ได้บอกเล่าเรื่องราวเหตุการณ์เรื่อง “ก่อนจะร่วงหล่น” หรือ “Before the fall” เอาไว้ว่า

หลังจากที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้น ลูซิเฟอร์ก็เกิดความรักใคร่เอ็นดูในความใสซื่อบริสุทธิ์ของมนุษย์เป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากมนุษย์มีความใสซื่อเกินไป จึงทำให้มนุษย์ไม่รับรู้ถึงตัวตนของพระเป็นเจ้า ตำนานที่กล่าวไว้ในคัมภีร์มีบันทึกไว้ว่า พระเจ้าเสกงูออกมาเพื่อล่อลวงมนุษย์ให้กินผลไม้แห่งปัญญา และเมื่อมนุษย์ได้รับประทานผลไม้ชนิดนี้เข้าไป ก็จะทำให้รู้สึกถึงพระเป็นเจ้าได้มากขึ้น มนุษย์จึงได้ขับไล่ออกจากสวนอีเดนไป หลังจากที่ลูซิเฟอร์ทราบเรื่อง ก็รู้สึกโกรธและคิดที่จะก่อกบฏขึ้น เรื่องนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการโน้มน้าวจิตใจของสาวกลัทธิลูซิเฟอเรี่ยน ซึ่งภายหลังได้กลายมาเป็นลัทธินอกรีต และกระจัดกระจายอออกไปตามถิ่นฐานต่างๆ บางกลุ่มคนก็หันพึ่งยาเสพติด หรือเสียงเพลง เพื่อใช้ในการกล่อมประสาทของตนเอง

ซึ่งเหตุผลที่ลูซิเฟอร์ถือเป็นตัวแทนของบาปแห่งความหยิ่งพยอง ก็เป็นเพราะเขาคิดว่าตนเองเก่งกาจและมีพลังเหนือใคร จนนำพาความหลงผิด และคิดก่อกบฏขึ้น จนในที่สุดก็กลายมาเป็นสงครามสวรรค์ครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั่นเอง โดยศึกครั้งนี้ ลูซิเฟอร์ได้จูงใจเทพ 2 ใน 3 (หรือบางก็ว่า 3 ใน5) ของเทพทั้งหมดบนสวรรค์ เพื่อมาต่อสู้กับกองทัพสวรรค์ ที่มีแม่ทัพเป็นอัคระเทวฑูตมิคาเอล แต่สุดท้ายก็ได้แพ้พ่ายไปในที่สุด

ว่ากันว่า ลูซิเฟอร์มักจะปรากฏตัวในลักษณะที่เป็นมังกรหรือสิงโต และมีลูกสมุนที่ชื่อว่า Satanackia และ Agalierap  ผู้จงรักภักดีอยู่ข้างกายเสมอ เปรียบเสมือนแขนทั้งสองข้างของลูซิเฟอร์ก็ว่าได้ ส่วนสัญลักษณ์ที่ใช้แทนตัวลูซิเฟอร์ก็จะเป็น กางเขนกลับหัว โดยมีเลขประจำตัวของลูซิเฟอร์หรือเลขแห่งความโชคร้าย  เป็น 666  ซึ่งแตกต่างจากเลขแห่งความโชคดีของพระคริสต์ ที่เป็น 333






เทพีฮีร่า (Hera) หรือ จูโน (Juno) เทพีแห่งสวรรค์

              ฮีร่า (Hera) หรือจูโน (Juno) ถือเป็นราชินีของเทพธิดาทั้งปวง เพราะเธอเป็นชายาของซูสผู้ยิ่งใหญ่ ประวติความเป็นมาของฮีร่ากล่าวไว้ว่า เธอเป็นธิดาองค์แรกของเทพไทแทนโครนัสกับเทพมารดารีอา ซึ่งได้อภิเษกสมรสกับ ซูสเทพบดีผู้เป็นอนุชาของนางในภายหลัง ด้วยเหตุนี้ฮีร่าจึงกลายเป็นราชินีที่สูงที่สุดในสรวงสวรรค์ชั้นโอลิมปัส ที่เป็นที่คร้ามเกรงของคนโดยทั่วไป เทวีฮีร่าไม่ชอบนิสัยเจ้าชู้ของสวามีของตน เพราะเทพซูสเป็นเทพที่เจ้าชู้ และมักจะประพฤติตนให้เทพีฮีร่าหึงหวงอยู่เสมอ อีกทั้งยังคอยลงโทษหรือคิดพยาบาทบุคคลที่คิดจะมาเป็นภรรยาน้อยของเทพซูสอยู่เสมอด้วย

ตอนแรกที่ซูสขอฮีร่าแต่งงาน นางฮีร่าก็ปฏิเสธ และยังคงปฏิเสธเรื่อยมาจนถึง 300 ปี แต่เมื่อวันหนึ่ง ซูสก็ได้วางแผนคิดอุบายปลอมตัวเป็นนกกาเหว่า ที่เปียกปอนไปด้วยพายุฝนและบินไปเกาะที่หน้าต่างที่ห้องนางฮีร่า เมื่อฮีร่าเห็นเข้าก็นึกสงสาร จึงได้จับนกตัวนั้นมาลูบขนพร้อมกับกล่าวคำว่า “ฉันรักเธอ” ทันใดนั้นเอง ซูสก็แปลงร่างกลับคืน และขอให้ฮีร่าแต่งงานกับพระองค์

แต่ชีวิตคู่ของเทวีฮีร่ากับเทพปริณายกซูสก็มีสะดุดอยู่เรื่อยมา ทั้งสองมักจะทะเลาะและมีปากเสียงกันบ่อยตลอดเวลา จนเป็นหนึ่งความเชื่อของชาวกรีกโบราณว่า เมื่อใดที่เกิดพายุฟ้าคะนองอย่างดุเดือด เมื่อนั้นแสดงถึงสัญญาณว่า เทพซูสกับเทพีฮีร่ากำลังต้องทะเลาะกันอยู่อย่างแน่นอน เนื่องจากเทพทั้งสองถือเป็นสัญลักษณ์แห่งสรวงสวรรค์

แม้ว่าเทวีฮีร่าจะถือเป็นราชินีแห่งสรวงสวรรค์หรือเทพมารดาแทนรีอา แต่เมื่อพิจารณาจากความประพฤติและอุปนิสัยของเจ้าแม้แล้ว กลับพบว่าไม่อ่อนหวานหรือมีเมตตาสมกับที่เป็นเทพแห่งมารดาเลย เจ้าแม่นั้นเป็นทั้งบุคคลที่โหดร้าย  ขาดเหตุผล  เจ้าคิดเจ้าแค้น และเป็นเทพีที่ชอบคิดอาฆาตจนถึงที่สุด  หากผู้ใดก็ตามที่ถูกเทวีฮีร่าอาฆาตมาดร้ายหมายหัวเอาไว้ ก็มักจะพบจุดจบที่ดูไม่สวยงามมากเท่าไรนัก  ยกตัวอย่างเช่น ชาวกรุงทรอยที่เมืองทั้งเมืองล่มจมลงไป ก็มีเหตุเพราะความอาฆาตพยาบาทของเจ้าแม่ฮีร่าผู้นี้นี่เอง  โดยสาเหตุของเรื่องราวร้ายกาจครั้งนี้ เกิดจากที่เจ้าชายปารีสแห่งทรอย ไม่ยอมเลือกให้เจ้าแม่เป็นผู้ชนะเลิศในการประกวดความงาม ระหว่าง 3 เทวีแห่งสวรรค์ ได้แก่ เทวีฮีร่า เทวีเอเธน่า และเทวีอโฟรไดที

รูปวาดหรือรูปสลักที่ชาวกรีกโบราณสร้างขึ้นถวายแก่เจ้าแม่ฮีร่า มักจะพบเห็นว่าเป็นเทวีวัยสาวที่มีความสวยสง่าเป็นอย่างมาก ว่ากันว่าความงามของนางเป็นที่น่าหลงใหลจนเกิดความคลั่งไคล้กับหลายผู้หลายคน โดยเฉพาะอิกซิออน (Ixion) ผู้เป็นราชาแห่ง ลาปิธี (Lapithae) ซึ่งภายหลังก็ถูกเทพซูสลงโทษอย่างร้ายแรง  และด้วยความทรนงคิดว่าตนมีรูปโฉมที่สิริงดงาม จึงทำให้เทวีฮีร่ามักจะเป็นเดือดเป็นร้อนเมื่อสวามีของตนแอบปันใจไปให้หญิงงามคนอื่น ฮีร่าจึงต้องตามราวีหญิงสาวเหล่านั้นจนถึงที่สุดเสมอ  ความร้ายกาจเรื่องความหึงหวงของเจ้าแม่ รุนแรงมากถึงขนาดที่คิดจะปฏิวัติโค่นล้มอำนาจของสวามีเลยด้วยซ้ำ เรื่องมีอยู่ว่า

เจ้าแม่รู้สึกโกรธในความไม่ซื่อสัตย์ของเทพซูสอย่างเต็มที ฮีร่าจึงได้ขอความร่วมมือกับเทพโปเซดอน ผู้เป็นเชษฐาของเทพซูสเอง  รวมไปถึงเทพอพอลโลกับเทวีเอเธน่าด้วย  ทุกคนรวมหัวกันจับองค์เทพซูสมัดไว้อย่างแน่นหนา  จนเกือบจะทำให้เทพซูสสูญเสียอำนาจอยู่แล้ว  แต่พอดีว่ายังชายาของเทพซูสอีกองค์หนึ่งที่มีชื่อว่า มีทิส (หมายความว่าภูมิปัญญา) ได้เข้ามาช่วยเหลือเทพซูสได้ทันเวลา โดยไปนำตัวอาอีกีออน (Aegaeon) ผู้เป็นอสูรร้อยแขนที่น่ากลัว เข้ามาช่วยเหลือเทพซูสได้อย่างทันท่วงที อสูรตนนี้มีฤทธิ์อย่างมาก จนเทพเทวาทั้งหลายต้องยอมแพ้ไปตาม ๆ กัน เมื่ออาอีกีออนเข้ามาช่วยซูส  จึงทำให้บรรดาผู้คิดคดหนีหน้าหายไปหมด  และแผนการณ์ครั้งนี้ก็ถูกล้มครืนในที่สุด

เทพซูสเองก็ได้เคยทำเรื่องร้ายกาจกับราชินีเทวีฮีร่าเช่นกัน  โดยเทพซูสได้ลงโทษเจ้าแม่ฮีร่าอย่างไม่ไว้หน้าเช่นกัน  ไม่ว่าจะเป็นการทุบตีอย่างรุนแรง  การใส่โซ่ตรวนที่บาทของเจ้าแม่   หรือการผูกข้อหัตถ์และพาเดินติดกันมัดโยงโตงเตงไปตลอดบนท้องฟ้า  การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดตำนานที่เกี่ยวข้องกับเทพฮีฟีสทัสขึ้นมาว่า  การวิวาทครั้งนี้ของเทพทั้งสององค์ ทำให้เทพฮีฟีสทัสผู้เป็นโอรส ได้เข้ามาขัดขวางไม่ให้พระบิดากระทำ รุนแรงเช่นนี้ต่อพระมารดา ทำให้เทพซูสที่กำลังโกรธจัด  จับตัวฮีฟีสทัสเขวี้ยงตกลงมาจากสวรรค์  และทำให้เทพฮีฟีสทัสกลายเป็นเทพผู้พิการไปในที่สุด

เทวีฮีร่าไม่ได้แค่ขี้หึงเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยความริษยาอย่างมากอีกด้วย  เมื่อครั้งที่เทพซูสทรงมีราชธิดาที่มีชื่อว่า  เอเธน่า  ผู้กระโดดออกจากเศียรของไท้เธอ  เจ้าแม่ฮีร่าก็เกิดความริษยาแก่ธิดาที่ไม่ใช่ของตนเป็นอย่างยิ่ง และตรัสกับสวามีว่า ในเมื่อสวามีทรงมีกุมารีได้ด้วยองค์เอง  นางนั้นก็สามาถมีบุตรได้ด้วยตัวเองเช่นกัน  แต่ทว่าบุตรที่กำเนิดขึ้นจากตัวเจ้าแม่ กลับมิได้มีรูปที่งดงามตามแบบเอเธน่า  แต่กลับเป็นเพียงอสูรร้ายที่มีหน้าตาแสนน่าเกลียดน่าชังเป็นอย่างยิ่ง (บางตำนานกล่าวว่าบุตรที่จากเทวีฮีร่า มีชื่อว่า ฮีฟีทัส) บุตรผู้นี้มีชื่อว่า ไทฟีอัส (Typheus) จึงทำให้เทพซูสเกิดโกรธกริ้วยิ่งนัก  และเป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาทตามมา

เจ้าแม่ฮีร่า ได้มีโอรสและธิดากับเทพบดีซูสรวม  4 องค์ นามว่า เฮบี้ (Hebe) อิลลิธธียา (Ilithyia) เอเรส (Ares) และฮีฟีสทัส (Hephaestus) ซึ่งเทพ 2 องค์หลังนี้ เป็นที่โด่งดังและรู้จักกันดี เพราะเทพเอเรส ถือเป็นเทพแห่งสงคราม ในขณะที่ เทพฮีฟีสทัส ก็ถือเป็นเทพถลุงเหล็กหรือเทพแห่งงานช่าง

หากกล่าวถึงชีวิตการสมรสของเจ้าแม่ฮีร่ากับเทพซูสแล้ว ก็คงจะไม่ค่อยราบรื่นเท่าไรนัก แต่สำหรับฐานะที่เจ้าแม่ฮีร่าถือเป็นราชินีหรือเป็นมารดาแห่งสวรรค์ ฮีร่าก็ทำหน้าที่คุ้มครองการแต่งงาน  และมีหลายครั้งที่เธอทำหน้าที่ดลใจให้วีรบุรุษได้แสดงออกถึงความกล้าหาญออกมา  ทำให้เธอถือเป็นที่เคารพนับถือในเขตโอลิมปัสเป็นอย่างมาก  เทวาลัยขนาดใหญ่ที่สุดที่ใช้เป็นที่บูชาของเทวีฮีร่า ตั้งอยู่ที่เมืองอาร์กอส หรือที่รู้จักกันว่า เดอะฮีร่าอีอุม (Heraeum) ส่วนสัตว์สัญลักษณ์ประจำตัวของฮีร่า ก็คือ วัว นกยูง และสิงโต ในขณะที่ต้นไม้ประจำตัวของเจ้าแม่ฮีร่า ก็คือ ผลทับทิมและนกแขกเต้านั่นเอง

เพลง

Count  : Must See Places In Paris